นักวิชาการ ‘คณะวิทย์ มธ.’ จับตาการเคลื่อนย้ายผงฝุ่นสีแดง จาก จ.ระยอง ไปยัง จ.ปราจีนบุรี พร้อมแนะรัฐนำเสนอข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือ สื่อสารในทิศทางเดียวกัน - CyberAInews ข่าวธุรกิจ888

CyberAInews ข่าวธุรกิจ888

ข่าวเด่น ดารา บันเทิง ข่าวธุรกิจ เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยีAi ข่าวธุรกิจ888 cyberainews by chokweekly chokcyberai

Post Top Ad

22 มีนาคม 2566

นักวิชาการ ‘คณะวิทย์ มธ.’ จับตาการเคลื่อนย้ายผงฝุ่นสีแดง จาก จ.ระยอง ไปยัง จ.ปราจีนบุรี พร้อมแนะรัฐนำเสนอข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือ สื่อสารในทิศทางเดียวกัน

 


กรุงเทพฯ 22 มีนาคม 2566 – นักวิชาการ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (SCI-TU) ร่วมจับตาภารกิจการเคลื่อนย้ายผงฝุ่นสีแดงจาก จ.ระยอง เพื่อกลับไปยัง จ.ปราจีนบุรี ซึ่งควรมีการเปิดเผยแผนปฏิบัติการให้ประชาชนทราบล่วงหน้า โดยมีการชี้แจงวิธีการและมาตรฐานปลอดภัยตลอดการขนส่ง เพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัยระหว่างการขนย้าย โดยยึดหลักของการจัดเก็บ ต้องมิดชิด รัดกุม มีอุปกรณ์ที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน พร้อมแนะภาครัฐควรนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่มีความน่าเชื่อถือ มีข้อมูลสนับสนุนทางวิชาการ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และสื่อสารผ่านศูนย์ปฏิบัติการฯ เฉพาะกิจ ที่จัดตั้งโดยรัฐบาล โดยนำเสนอข้อมูลไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อป้องกันความสับสน และสร้างความเชื่อมั่นภาคประชาชน



รองศาสตราจารย์ ดร.พีระศักดิ์ เภาประเสริฐ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์วัตถุรังสี ซีเซียม137’ (Cs-137) ไอโซโทปกัมมันตรังสีของธาตุซีเซียมสูญหาย และในภายหลังถูกค้นพบว่าได้ผ่านกระบวนการเข้าเตาหลอมจนเหลือเป็นผงฝุ่นสีแดง แต่ยังไม่มีหลักฐานที่ชี้ว่าเป็นผงฝุ่นที่หายไปอย่างชัดเจน ซึ่งจัดเก็บภายในโรงงาน จ.ระยอง ซึ่งได้ประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ควบคุม โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า มีผงฝุ่นซีเซียม 137 ภายโกดังปริมาณ 2.4 ตัน โดยมีแนวทางในการขนย้ายเพื่อนำกลับไป จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นเจ้าของวัตถุรังสีดังกล่าว

 

โดย คณะวิทย์ มธ. มีความห่วงใยต่อกระบวนการขนย้ายข้ามจังหวัด ซึ่งมีความเสี่ยงที่น่ากังวล และมีความจำเป็นต้องมีแผนการทำงานที่รัดกุม  และประกาศให้ประชาชนได้รับรู้ อีกทั้ง ควรมีเครื่องวัดสารกัมมันตรังสีติดตัวว่า ขณะเคลื่อนย้ายมีความเข้มข้นของสารอยู่ในระดับใด และเจ้าหน้าควรต้องสวมชุดและอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานขณะปฏิบัติงานอยู่ใกล้วัตถุรังสีด้วย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการกระบวนทำงาน ที่เป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบทางสังคม ซึ่งจะช่วยลดข้อกังวลของภาคประชาชน ที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอีกด้วย พร้อมแนะภาครัฐควรนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่มีความน่าเชื่อถือ มีข้อมูลสนับสนุนทางวิชาการ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และสื่อสารผ่านศูนย์ปฏิบัติการฯ เฉพาะกิจ ที่จัดตั้งโดยรัฐบาล โดยนำเสนอข้อมูลไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อป้องกันความสับสน และสร้างความเชื่อมั่นภาคประชาชน

           

 


ด้าน อาจารย์ ดร.รุจิภาส บวรทวีปัญญา อาจารย์ประจำสาขาวิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า โดยปกติสารซีเซียม เมื่อใช้งานไประยะหนึ่ง ค่ากัมมันตรังสีจะลดน้อยลงตามลำดับตามค่าครึ่งชีวิตของสารกัมมันตรังสี และต้องผ่านกระบวนการกำจัดโดยหน่วยงานของภาครัฐ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นกรณีสุดวิสัย แต่ยังคงต้องอาศัยกระบวนจัดเก็บหรือกำจัดอย่างปลอดภัย และยังมีความจำเป็นต้องการจัดโซนนิ่งแยกพื้นที่ปลอดภัย และพื้นที่เป็น 3 ระยะ คือ

·      สีแดง คือ ระยะอันตราย

·      สีเหลือง คือ ระยะปลอดภัยสำหรับผู้ปฏิบัติหน้าที่

·      สีเขียว คือ ระยะปลอดภัยสำหรับบุคคลทั่วไป ไม่เข้าใกล้ก็ไม่ได้รับผลกระทบ

 


ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องปฏิบัติงานหรือรับสารดังกล่าว สำหรับผู้ปฏิบัติงาน ไม่ควรเกิน 20 มิลลิซีเวิร์ตต่อปี ขณะที่ประชาชนไม่ควรเกิน 1 มิลลิซีเวิร์ตต่อปี โดยสามารถสังเกตอาการไม่พึงประสงค์ได้ กรณีที่ได้รับสารโดยตรงในปริมาณมากจะมีอาการแสบผิว วิงเวียนศรีษะ อาเจียน โดยหากประชาชนมีข้อกังวลเกี่ยวกับอาการ สามารถพบแพทย์เพื่อตรวจสารกัมมันตรังสีในเลือดได้ ทั้งนี้ ปริมาณสารดังกล่าวในปัจจุบันมีเพียง 0.4-0.5 มิลลิกรัมเท่านั้น ซึ่งถือเป็นปริมาณที่น้อยมากหากเทียบกับเหตุการณ์เชอร์โนบิล

 

 


อาจารย์ ดร.ณัฐฐา แสงนรินทร์ เหมจินดา อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวเสริมว่า แม้สารซีเซียม 137’ จะถูกเผาและแปรสภาพเป็นผงฝุ่นสีแดงแล้ว ยังคงมีคุณสมบัติไม่ต่างจากลักษณะแท่งสามารถแผ่รังสีได้ ซึ่งความน่ากังวลของเหตุการณ์คือ ผงฝุ่นสีแดงที่เกิดขึ้นหลังการหลอม ถูกพบบรรจุในถุงบิ๊กแบ็คเพียง 90% และอีก 10% ที่ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ และยังคงคุณสมบัติเดิม ดังนั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและตระหนักรู้แก่ภาคประชาชน ภาครัฐจึงควรออกมาให้ความรู้และสร้างฐานข้อมูลผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่จำเป็น อาทิ พื้นที่ที่มีการใช้สารดังกล่าว ระดับความเข้มข้นของสาร ระยะการใช้งานของสาร ฯลฯ  หากบริเวณใกล้เคียงมีการเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ จะสามารถดูดซึมสารซีเซียมและสะสมในเนื้อเยื่อได้ ในที่สุดจะมีโอกาสปนเปื้อนในห่วงโซ่อาหาร ขณะเดียวกัน อยากย้ำเตือนประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง ยังคงสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ และติดตามข่าวสาร โดยเฉพาะค่าปริมาณรังสีรายวันอย่างใกล้ชิดอีกด้วย

 

 

ทั้งนี้ ในโอกาสที่ คณะวิทย์ มธ. ครบรอบ 37 ปี และอยากส่งต่อความรู้และประสบการณ์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะด้านเคมี ฟิสิกส์ และสิ่งแวดล้อม ที่จำเป็นต่องานด้านกัมมันตรังสี โดยขณะนี้กำลังเปิดรับสมัครผู้ที่สนใจ เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี สามารถติดตามความเคลื่อนไหวการรับสมัครของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (SCI-TU) wได้ที่ http://student.mytcas.com หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (SCI-TU) ได้ที่เว็บไซต์ www.tuadmissions.in.th, www.facebook.com/ScienceThammasat และ https://sci.tu.ac.th หรือติดต่อ 02-564-4490 ต่อ 2094

 


#คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี #มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ #ผงฝุ่นสีแดง
#ซีเซียม137 #Cs137 #กัมมันตรังสี #กัมมันตรังสีซีเซียม137 #ผงฝุ่นซีเซียม137 #
กัมมันตรังสีซีเซียม #กัมมันตรังสีอันตราย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Ad