คณะวิทย์ มธ. เปิดโรดแมป ‘ลดหนี้สาธารณะ’ ของไทย พร้อมข้อเสนอแนะทางการเงินภาคครัวเรือน สร้างวินัยการเงินให้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัว - CyberAInews ข่าวธุรกิจ888

CyberAInews ข่าวธุรกิจ888

ข่าวเด่น ดารา บันเทิง ข่าวธุรกิจ เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยีAi ข่าวธุรกิจ888 cyberainews by chokweekly chokcyberai

Post Top Ad

กดติดตามได้ทาง https://www.ข่าวธุรกิจ888.cyberaitea.com

04 กรกฎาคม 2566

คณะวิทย์ มธ. เปิดโรดแมป ‘ลดหนี้สาธารณะ’ ของไทย พร้อมข้อเสนอแนะทางการเงินภาคครัวเรือน สร้างวินัยการเงินให้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัว

 


 ·      นักคณิตศาสตร์ มธ. แนะวัยรุ่นสร้างตัวยุคดิจิทัล วางแผนตั้งรับมีเงินใช้ยามฉุกเฉินใน 3 ขั้นตอน เป็นหนี้ให้น้อยที่สุด-สำรองเงินออม 6 เดือนขึ้นไป-เริ่มต้นลงทุนแบบง่ายๆ

·      นักคณิตศาสตร์ มธ. แนะโมเดลการออมกลุ่มเปราะบาง แรงงานรายวัน ปรับสมการ “เก็บออมก่อนใช้” ราว 5-10% หลังพบเพดานรายได้ขั้นต่ำที่ 354 บาทต่อวัน

 


          กรุงเทพฯ 4 กรกฎาคม 2566 - คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จับตา “หนี้สาธารณะไทย” หลังพบปี 2566 มีหนี้สะสมสูง 10 ลลบ. สาเหตุจากรัฐบาลมีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย เล็งวางแผนลงทุนพัฒนาสังคม-โครงสร้างพื้นฐาน-เยียวยากลุ่มคนเปราะบาง พร้อมเปิดโรดแมป “ลดหนี้สาธารณะ” ใน 3 ระยะได้แก่ ระยะสั้น ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น หรือพิจารณาจากความคุ้มค่าในการก่อหนี้ ระยะกลาง ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเข้าถึงการประกอบอาชีพ ระยะยาว ยกระดับศักยภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและอาหาร ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมแนะภาคครัวเรือนและวัยรุ่นสร้างตัว สร้างวินัยการเงินให้เป็นเรื่องใกล้ตัวได้ง่ายๆ ใน 3 ขั้นตอน คือ 1. เป็นหนี้ให้น้อยที่สุด 2. มีเงินเก็บสำหรับฉุกเฉิน และ 3. ลงทุนให้เป็น ปลดล็อกเพื่อความมั่งคั่งในอนาคต พร้อมชวนปรับแนวคิดในสมการ “รายได้ - เงินออม = รายจ่าย” หรือ “เก็บออมก่อนใช้” โดยเริ่มจากการออมขั้นต่ำ 10-20% ของรายได้ ส่วนกลุ่มแรงงานรายวัน ที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจ ใช้โมเดลการออมที่เหมาะสม ราว 5-10% ของรายได้ต่อวัน

 


รองศาสตราจารย์ ดร.วิชัย วิทยาเกียรติเลิศ อาจารย์ประจำสาขาวิชาคณิตศาสตร์และสถิติ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยว่า “ปัจจุบันประเทศไทยมีหนี้สาธารณะสะสมสูงถึง 10 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 60-61 ของจีดีพี โดยจัดอยู่ในประเทศที่มีภาระหนี้สาธารณะอันดับที่ 120 ของโลกและอันดับที่ 4 ของอาเซียน จากกรณีที่รัฐมีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย แม้มีรายได้จากภาษีและรัฐพาณิชย์กว่า 2.66 ล้านล้านบาทต่อปี โดยในปี 2566 นี้คาดการณ์ว่ารัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้นที่ 2.7-2.8 ล้านล้านบาท จากแผนกู้เงินกว่า 3.22 ล้านล้านบาท ที่ส่วนหนึ่งนำไปบริหารจัดการและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คน ตลอดจนเยียวยากลุ่มคนเปราะบางที่ขาดรายได้จากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าว คณะวิทยาศาสตร์ฯ มธ. ได้นำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์ ทางคณิตศาสตร์และสถิติ ร่วมกับบริบททางสังคมของประเทศไทย จึงได้โรดแมป ลดหนี้สาธารณะ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับหน่วยงานภาครัฐของไทย ผ่านการดำเนินงานใน 3 ระยะดังนี้



·     ระยะสั้น การลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น หรือพิจารณาจากความคุ้มค่าในการก่อหนี้ โดยประเมินจากรายได้หรือประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนและประเทศในอนาคต ผ่านการจัดตั้งโครงการแก้หนี้เพื่อแก้หนี้ระยะสั้น

·     ระยะกลาง การช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางผู้ขาดรายได้เข้าถึงโอกาสในการประกอบอาชีพ รวมถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SME) มีที่รายได้เพิ่มขึ้น เพื่อให้มีรายได้ที่จะจ่ายภาษีและลดภาระการจ่ายเงินเยียวยาในกรณีที่ประชาชนไม่มีรายได้ ขณะที่รัฐก็มีรายได้มาใช้พัฒนาประเทศโดยไม่ต้องกู้ยืมหรือมีเงินใช้คืนหนี้ ผ่านการพัฒนาโครงการให้เกิดการจ้างงาน รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ

·   ระยะยาว การยกระดับศักยภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ที่เป็นจุดแข็งของไทย ทั้งด้านการเกษตรและวัตถุดิบแต่ละท้องถิ่น ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สู่การรังสรรเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและนวัตกรรมอาหารที่น่าสนใจเพิ่มเติมจากการส่งออกวัตถุดิบเพียงอย่างเดียว เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเพิ่มโอกาสการลงทุนของนักลงทุนในไทยในอนาคต

 



 ขณะที่ หนี้ครัวเรือน มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 90 ในไตรมาสที่ 4/2565 เนื่องจากประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น จากสถิติปี 2563-2564 ที่พบว่าร้อยละ 34.3 เป็นหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลอื่น และร้อยละ 65.7 เป็นหนี้เพื่อการลงทุนและสร้างรายได้ในอนาคต ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ยานยนต์ และการลงทุนธุรกิจ จึงเป็นผลให้เกิดหนี้เสีย หรือสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non-Performing Loan: NPL) จำนวนมาก โดยล่าสุดหลังการปรับโครงสร้างหนี้ในไตรมาสที่ 1/2566 พบค่า NPL ลดลงมาอยู่ที่ 498.0 พันล้านบาทหรือคิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ร้อยละ 2.68 แต่ทั้งนี้ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มเปราะบางที่รายได้ฟื้นตัวช้าและมีหนี้สูง (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย, 2566)

 

นอกจากนี้ คณะวิทยาศาสตร์ฯ มธ. ยังมีแนวทางสำหรับการสร้างภูมิคุ้มกันและสร้างความมั่นคงทางการเงินระยะยาวแก่ภาคประชาชน สามารถแบ่งตามลำดับขั้นของการชีวิตได้ดังต่อไปนี้


·        ช่วงวัยเริ่มต้นทำงานจนถึงอายุ 35 ปี ช่วงวัยที่ต้องสร้างความมั่งคั่งพื้นฐานให้กับตัวเอง อาทิ การเก็บเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6 เท่าของค่าใช้จ่ายส่วนตัวแต่ละเดือน เงินเก็บสำหรับการเรียนรู้สิ่งใหม่หรือพัฒนาทักษะ สร้างเครดิตทางการเงินที่ดี ศึกษาการลงทุนเพื่อรองรับวัยเกษียณ ทยอยซื้อประกันให้ตัวเอง

·     ช่วงวัย 35-55 ปี ช่วงวัยแห่งการสะสมความมั่งคั่ง ที่ควรนำเงินเก็บไปลงทุนเพื่อสร้างให้งอกเงย ซื้อทรัพย์สินเป็นของตัวเอง เช่น บ้าน รวมทั้งการวางแผนเก็บเงินสำหรับครอบครัว นอกจากนั้นยังควรอัปเดตแผนการเงินสำหรับการเกษียณตัวเองว่า เป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นไปตามแผนหรือไม่ กรณีที่ไม่บรรลุเป้าหมายที่วางไว้อาจจะต้องปรับแผนการลงทุนใหม่

·     ช่วงวัย 55-65 ปี ช่วงวัยที่วางแผนก่อนการเกษียณ ถือเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายหลังจากทำงานมายาวนาน จึงควรคำนวณค่าใช้จ่ายส่วนตัวรายเดือน หรือมองหางานเล็กๆ ทำเพื่อสร้างรายได้เสริมเพื่อแก้เบื่อ รวมถึงวางแผนระยะยาวสำหรับการเงินเพื่อดูแลสุขภาพของตัวเองในวัยเกษียณ

·     ช่วงวัยเกษียณ อายุ 65 ปีขึ้นไป ช่วงวัยที่พิจารณาเงื่อนไขในชีวิตที่มีอยู่พร้อมกับเงินที่สะสมมาทั้งชีวิต ดูแผนประกันชีวิตและประกันสุขภาพของตัวเอง เพื่อวางแผนพร้อมเงินสดที่มี อย่างไรก็ดี นอกจากเงื่อนไขเรื่องอายุ ต้องพิจารณาการวางแผนทางการเงินให้สอดคล้องกับปัจจัยที่เกิดขึ้นในชีวิต เช่น มีบุตรตอนอายุมาก หรือวางแผนเกษียณก่อนกำหนด

 

อย่างไรก็ดี ในยุคดิจิทัลเราจะพบวัยรุ่นสร้างตัวจำนวนมาก แต่กลับพบปัญหาเรื่องการออมเงิน ซึ่งสามารถแก้ไขได้ใน 3 ขั้นตอน ได้แก่ เป็นหนี้ให้น้อยที่สุด(เท่าที่จะทำได้) ควรมีเงินเหลือมากกว่าค่าใช้จ่าย และมีอัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ต่อเดือนไม่เกินร้อยละ 60 หรือต่ำกว่า มีเงินเก็บสำหรับฉุกเฉิน ควรมีเงินเก็บฉุกเฉินจำนวน 6 เดือนขึ้นไป เพราะสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาหลายบริษัทมีการปลดพนักงานหรือปรับลดรายได้กระทันหัน ลงทุนให้เป็น ปลดล็อกเพื่อความมั่งคั่งในอนาคต การเริ่มต้นลงทุนแบบง่ายๆ เช่น การซื้อกองทุนรวมในประเทศ กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ เป็นต้น โดยในกรณีที่มีเงินเริ่มต้นหรือยิ่งมีเงินลงทุนรายเดือนเพิ่มขึ้น ผลตอบแทนก็จะมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังควรศึกษาเรื่องการจัดการภาษีเงินได้ส่วนบุคคล การลดหย่อนผ่านการบริจาค การซื้อกองทุนรวมเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายจากภาษี

 

อย่างไรก็ดี แม้หนี้สาธารณะไทยจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ ด้วยประสบการณ์ในวิกฤตต้มยำกุ้งและมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยที่รัดกุมและเข้มแข็ง แต่หากไทยสามารถทำให้หนี้ดังกล่าวลดลงได้ โดยอาจไม่จำเป็นถึงขั้น ล้างหนี้ ย่อมส่งผลดีต่อประเทศในหลากมิติ ทั้งต่อภาคประชาชนที่ไม่ต้องหมุนเวียนชำระหนี้ก้อนโต ภาคธุรกิจมีมูลค่าการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้น จากการมีบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาทางคณะวิทยาศาสตร์ฯ มธ. ได้มีการปลูกฝังการวางแผนทางการเงินระยะยาว ผ่านการปรับทัศนคติการออมเงินด้วยสมการ รายได้ - เงินออม = รายจ่ายกล่าวคือ “เก็บออมก่อนใช้” โดยเริ่มจากการออมขั้นต่ำ 10-20% ของรายได้ นอกจากนี้หากพิจารณาในกลุ่มคนเปราะบางของประเทศ อาทิ แรงงานค่าจ้างรายวัน ที่ปัจจุบันมี อัตราค่าแรงขั้นต่ำ สูงสุดที่ 354 บาทต่อวัน เห็นควรปรับสมการการออมเงินแบบรายวัน ประมาณ 5-10% หรือคิดเป็นเงิน 17-35 บาท เพื่อให้มีเงินคงเหลือเพียงพอต่อการใช้จ่ายและมีเงินเก็บสะสมยามฉุกเฉิน รองศาสตราจารย์ ดร.วิชัย กล่าว

ทั้งนี้ คณะวิทยาศาสตร์ฯ มธ. ขอร่วมเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนและร่วมหาทางออกหนี้สาธารณะของประเทศในอนาคตอย่างยั่งยืน ผ่านการเรียนการสอนของสาขาคณิตศาสตร์และสถิติของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่บูรณาการศาสตร์ต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อให้ผู้เรียนมีองค์ความรู้รอบด้านและสามารถเรียนข้ามหลักสูตรกันได้ตรงตามความสนใจของตนเอง สามารถปรับตัวให้สอดคล้องความต้องการของสังคมและประเทศชาติ ตลอดจนตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บัณฑิต โดยใน สาขาวิชาคณิตศาสตร์และสถิติ ได้พัฒนาหลักสูตรคณิตศาสตร์วิชาเอกคณิตศาสตร์ หลักสูตรคณิตศาสตร์วิชาเอกวิทยาการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ หลักสูตรคณิตศาสตร์ประยุกต์ หลักสูตรคณิตศาสตร์การจัดการ หลักสูตรสถิติวิชาเอกสถิติศาสตร์ หลักสูตรสถิติวิชาเอกวิทยาการวิเคราะห์ข้อมูล หลักสูตรวิทยาการประกันภัย ขึ้นใหม่โดยมุ่งเน้นให้แต่ละหลักสูตรผลิตบัณฑิตที่มีทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyzing) โดยนำความรู้และเครื่องมือที่ตนได้ศึกษาในแต่ละหลักสูตรมาใช้ศึกษาปัญหาโลกจริงและนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาวิเคราะห์เพื่อเป็นข้อมูลเพื่อการตัดสินใจผ่านการทำวิจัยในวิชาโครงงาน เช่น ปัญหาด้านการจัดการโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้าทางการเกษตรได้ ปัญหาด้านการเงินและการลงทุน การออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัย การออกแบบและกำหนดราคาสินทรัพย์ทางการเงิน เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างเอกลักษณ์และความโดดเด่นที่แตกต่างแก่บัณฑิตที่จบจากที่นี่

 

นอกจากนี้ทางสาขาฯ ยังได้มีการบรรจุรายวิชาและกลุ่มรายวิชาที่ทันสมัยและมีผลกระทบสูงต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มรายวิชาทางจัดการโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ กลุ่มรายวิชาทางด้านการวิเคราะห์ การวางแผนทางการเงินและการลงทุน การกำหนดราคาสินค้า รวมถึงกลุ่มรายวิชาด้านการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่ออธิบายและแก้ปัญหาทางโลกจริงที่ซับซ้อน เป็นต้น ทางสาขาฯ มุ่งเน้นให้บัณฑิตที่จบไปสามารถนำรายวิชาเหล่านี้ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับการประกอบอาชีพของตนเองหรือแม้แต่การเป็นเจ้าของธุรกิจของตนเอง เพื่อให้บัณฑิตที่จบไปในยุคเป็ดพรีเมียมมีรายได้สูงขึ้นสามารถก้าวพ้นกับดักรายได้น้อยและกำจัดปัญหาหนี้ครัวเรือนได้ และเพื่อสร้างบัณฑิตที่เป็นฟันเฟืองที่สำคัญในกลไกลขับเคลื่อนตลาดและเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง ทั้งนี้ ที่ผ่านมาจากผลสำรวจของคณะวิทย์ มธ. พบว่าบัณฑิตส่วนใหญ่มีงานทำในสายงานที่สนใจทันทีเมื่อสำเร็จการศึกษา รองศาสตราจารย์ ดร.วิชัย กล่าวทิ้งท้าย

 

สำหรับผู้สนใจศึกษาต่อคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (SCI-TU) สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.facebook.com/ScienceThammasat และ https://sci.tu.ac.th/

 

#คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี #มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ #หนี้สาธารณะไทย #กลุ่มคนเปราะบาง #คณะวิทย์มธ #SCITU #หนี้ครัวเรือน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Ad