#สินค้าเกษตรของดีประจำถิ่น #หนุนเศรษฐกิจกุ้ยโจวเติบโตสดใส
#กุ้ยหยาง, จีน, 23 กันยายน 2568 /ซินหัว-เอเชียเน็ท/ดาต้าเซ็ต
มณฑลกุ้ยโจว ซึ่งเคยเป็นพื้นที่ที่มีประชากรยากจนมากที่สุดในระดับมณฑลของประเทศจีน ได้เดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตรให้มีความโดดเด่นและเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาท้องถิ่น โดยมุ่งเน้นการสร้างอุตสาหกรรมหลัก 3 ประเภท ได้แก่ เนื้อวัว ชา และพริก ควบคู่ไปกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมเด่น 5 ประเภท ได้แก่ สมุนไพรจีน เห็ด สาลี่หนาม ชาและน้ำมันจากคามิเลีย และไผ่ เพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูชนบทและเพิ่มพูนรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่
#เมืองถงเหริน ใน #มณฑลกุ้ยโจว คว้าโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยอาศัยทรัพยากรการเกษตรที่มีความโดดเด่นในพื้นที่ ผลักดันให้อุตสาหกรรมมัทฉะกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนยกระดับอุตสาหกรรมชาให้มีความทันสมัย และพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร
ปัจจุบัน เมืองถงเหรินได้พัฒนาแหล่งปลูกชาเขียวคุณภาพสูงสำหรับการผลิตมัทฉะ ครอบคลุมพื้นที่ 61,600 หมู่ (ประมาณ 4,107 เฮกตาร์) พร้อมทั้งสร้างโรงงานผลิตมัทฉะระดับพรีเมียม ซึ่งนับเป็นโรงงานผลิตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีกำลังการผลิตสูงถึง 4,000 ตันต่อปี
เมืองถงเหริน ซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาฟ่านจิ้งซาน แหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ ได้รับการยกย่องให้เป็น "เมืองหลวงแห่งมัทฉะของจีน" โดยผลิตภัณฑ์มัทฉะจากเมืองถงเหรินส่งออกไปยังหลากหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส
ขณะเดียวกัน เมืองจุนอี้ ซึ่งในอดีตเคยเป็นสถานที่จัดการประชุมจุนอี้ (Zunyi Meeting) อันเลื่องชื่อ ในระหว่างการเดินทัพทางไกล (The Long March) ของกองทัพแดงแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ปัจจุบันได้หันมาให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมพริกอย่างเป็นระบบ โดยมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์พริกอย่างหลากหลาย ควบคู่กับการยกระดับมาตรฐานการควบคุมคุณภาพ และการวางระบบสนับสนุนด้านนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ
เมืองจุนอี้ได้จัดตั้งตลาดขนาดใหญ่ในตำบลเซี่ยจื่อ ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ "เมืองพริกจีน" โดยสามารถผลิตพริกได้หลายแสนตันต่อปี เพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศและส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี และอิตาลี
เมืองจุนอี้จำหน่ายพริกแห้งได้มากกว่า 1 พันล้านหยวนต่อปี ขณะที่มูลค่าผลผลิตรวมของห่วงโซ่อุตสาหกรรมพริกทั้งหมดสูงกว่า 2 พันล้านหยวน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่มากกว่า 500,000 ครัวเรือน โดยในจำนวนนี้เป็นครัวเรือนที่เคยยากจนมากกว่า 100,000 ครัวเรือน
ทั้งนี้ พื้นที่ส่วนใหญ่ของมณฑลกุ้ยโจวมีภูมิประเทศแบบคาร์สต์ (Karst) ซึ่งส่งผลให้ดินมีลักษณะแข็งและไม่อุดมสมบูรณ์ สภาพภูมิประเทศเช่นนี้เคยเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มณฑลกุ้ยโจวสามารถพลิกฟื้นพื้นที่เนินเขาแห้งแล้งให้กลายเป็นทรัพยากรอันมีค่าด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
อำเภอปกครองตนเองเจิ้นหนิง กลุ่มชาติพันธุ์ปู้อี-เหมียว ในเมืองอันซุ่น ซึ่งเป็นที่ตั้งของน้ำตกหวงกั่วซู่อันเลื่องชื่อระดับโลก โดดเด่นด้วยภูมิทัศน์อันงดงามของภูมิประเทศแบบคาร์สต์
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อำเภอเจิ้นหนิงได้พลิกฟื้นพื้นที่เนินเขาแห้งแล้งให้กลับมามีชีวิต ด้วยการพัฒนาการปลูกลูกพลัมน้ำผึ้ง ซึ่งเป็นผลไม้ประจำถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
อำเภอเจิ้นหนิงมีสภาพภูมิอากาศเหมาะสมอย่างยิ่งต่อการปลูกพลัม โดยมีปริมาณน้ำฝนน้อย แสงแดดจัด และอุณหภูมิระหว่างกลางวันกับกลางคืนแตกต่างกันค่อนข้างมาก
พลัมที่ปลูกในพื้นที่แห่งนี้มีรสชาติหวานหอมเป็นเอกลักษณ์ คล้ายน้ำผึ้ง จนได้รับการขนานนามว่า "ลูกพลัมน้ำผึ้ง"
ปัจจุบัน พื้นที่ปลูกพลัมน้ำผึ้งขนาด 1 หมู่ สามารถสร้างรายได้มากกว่า 20,000 หยวน ส่งผลให้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา รายได้ต่อหัวของชาวบ้านในพื้นที่เพิ่มขึ้นจากไม่ถึง 2,000 หยวน เป็นมากกว่า 22,000 หยวน
ตำบลหลิวหม่า ในอำเภอเจิ้นหนิง ได้ก้าวขึ้นเป็น "ตำบลแรกของมณฑลกุ้ยโจวที่มีมูลค่าผลผลิตต่อปีเกิน 1 พันล้านหยวน" ขณะที่ลูกพลัมน้ำผึ้งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ระดับชาติ และกลายเป็นอุตสาหกรรมหลักที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการฟื้นฟูชนบทของอำเภอเจิ้นหนิง
สำนักเกษตรและกิจการชนบทมณฑลกุ้ยโจวเปิดเผยว่า ด้วยทรัพยากรทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวอันอุดมสมบูรณ์ มณฑลกุ้ยโจวจึงสามารถต่อยอดและสร้างสรรค์นวัตกรรมในภาคการเกษตรได้อย่างหลากหลาย อาทิ ซุปเปรี้ยวสไตล์กุ้ยโจว และผลิตภัณฑ์จากบัควีท โดยมณฑลกุ้ยโจวจะเดินหน้าพัฒนาสินค้าประจำถิ่นต่อไป เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาอย่างทั่วถึง
ที่มา: สำนักเกษตรและกิจการชนบทมณฑลกุ้ยโจว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น