ไขรหัสอนาคตเศรษฐกิจไทยที่ยั่งยืน #CMMU พร้อมพาวิเคราะห์ 5 กับดักใหญ่ ของภาคธุรกิจ และ 6 เทรนด์ที่ต้องรังสรรค์โอกาสและปรับตัว
แม้ประเทศไทยจะครองอันดับ 1 ในอาเซียนด้านความก้าวหน้าของดัชนีด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน SDGs มา 7 ปีติดต่อกัน แต่หากมองในระดับโลก ไทยยังอยู่เพียงอันดับที่ 43 จาก 167 ประเทศที่ถูกจัดอันดับ ที่น่าสนใจกว่านั้น ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติระบุว่าโลกมีโอกาสบรรลุเป้าหมาย SDGs ครบทั้ง 17 ประการ ภายในปี 2030 เพียง 17% เท่านั้น อีก 48% เดินหน้าอย่างล่าช้า และอีก 37% ไม่มีความคืบหน้าหรืออาจกำลังถอยหลังคำถามสำคัญ คือ แล้วประเทศไทยอยู่ตรงไหนในเส้นทางนี้?
แม้จะยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด แต่หากโฟกัสเฉพาะมิติความยั่งยืนทางเศรษฐกิจก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาคธุรกิจในไทยยังคงต้องเร่งเครื่องไปสู่เป้าหมายความยั่งยืน ซึ่งในวันนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการความยั่งยืนไทยจะพาไปวิเคราะห์กับแนวทางการปรับตัวเพื่อให้บรรลุกับเป้าหมายดังกล่าว โดย รศ.ดร.ณัฐวุฒิ พิมพา ผู้ช่วยคณบดีด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน จากวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ได้วิเคราะห์ว่าเหตุที่ภาคเศรษฐกิจไทยเดินหน้าไปสู่บางเป้าหมายความยั่งยืนอย่างล่าช้า เพราะมี 5 Pain Points หลักๆ ที่เป็นกับดัก
ฉุดรั้งไม่ว่าจะเป็น
1. การพึ่งพาทรัพยากรสิ้นเปลืองมากเกินไป ซึ่งหลายอุตสาหกรรมยังคงใช้พลังงานฟอสซิลและวัตถุดิบที่ใช้แล้วหมดไป ไม่มีระบบหมุนเวียนรองรับ ส่งผลให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงพุ่งและก่อให้เกิดต้นทุนแฝงทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ 2. ยังอาศัยโครงสร้างเศรษฐกิจเก่าที่เสี่ยงสูง ภาคการเกษตรและการท่องเที่ยวยังคงเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่นำรายได้เข้าประเทศเหมือนในอดีต แต่ในระบบเศรษฐกิจปัจจุบัน 2 อุตสาหกรรมนี้ก็เป็นกลุ่มเปราะบางจากการแข่งขันและความต้องการที่เปลี่ยนไป ซ้ำร้ายมีความเสี่ยง ทั้งจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่ไม่ก่อให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน 3. ปรับตัวช้ากว่าการเปลี่ยนแปลงหลายองค์กรยังมองว่าการสร้างรูปแบบธุรกิจที่ยั่งยืนเป็นภาระมากกว่าโอกาส ทำให้ขาดการลงทุนและการวางแผนเปลี่ยนผ่านสู่โมเดลคาร์บอนต่ำและเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือการสร้างความยั่งยืนผ่านนโยบายการค้าที่เน้นการสร้างมูลค่าร่วมกัน 4. ระบบนิเวศนวัตกรรมยังไม่แข็งแรง แม้จะมีสตาร์ทอัพและงานวิจัยใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่การเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างองค์กรและหน่วยงานในอุตสาหกรรมยังไม่เข้มแข็งพอที่จะสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง รวมถึงการวิจัยเชิงพาณิชย์ที่ยังมีน้อยและมักจำกัดอยู่แค่ในแวดวงวิชาการมากกว่าถูกนำไปใช้จริง และ 5. แรงงานยังขาดความรู้เชิงลึกและทักษะอนาคต โดยเฉพาะทักษะดิจิทัล เทคโนโลยีด้านความยั่งยืน และนวัตกรรมด้านสุขภาพ รวมถึงความสามารถในการมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมซึ่งพบได้ทั้งในแรงงานรุ่นใหม่และรุ่นที่ผ่านการทำงานมานาน
รศ.ดร.ณัฐวุฒิ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า หากต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่ความยั่งยืน องค์กรภาคธุรกิจซึ่งเป็นฟันเฟืองหลักต้องเร่งเตรียมความพร้อม และเสริมแกร่งให้ “4 จิ๊กซอว์สำคัญ” คือ คน กำลังหลักขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง โดยองค์กรจำเป็นต้องเร่งปรับโมเดลการพัฒนาบุคลากรใหม่ โดยต้องมองไกลกว่าแค่การเพิ่มทักษะเฉพาะด้าน แต่ต้องสร้างทั้งผู้นำและทีมงานที่เข้าใจภาพรวมทั้งเชิงลึกและเชิงกว้าง ทั้งกลยุทธ์และปฏิบัติ มีทักษะการคิดเชิงระบบและมองเห็นความเชื่อมโยงของปัจจัยรอบด้านองค์กรจึงต้องลงทุนอย่างจริงจังในการ Reskilling และ Upskilling บุคลากรอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างกำลังคนที่พร้อมปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลง และเสริมขีดความสามารถในการขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคตที่ยั่งยืน กลยุทธ์ซึ่งเป็นเข็มทิศสู่ความยั่งยืน โดยการวางกลยุทธ์ธุรกิจยุคใหม่ต้องไม่ยึดติดกับกำไรระยะสั้นหรือความสำเร็จแบบฉาบฉวย แต่ต้องมองการณ์ไกล กล้าลงทุนในเรื่องความยั่งยืน ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ยังไม่เห็นผลตอบแทนทันทีแต่สร้างคุณค่าในระยะยาว ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาสมดุลระหว่างผลประกอบการกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไว้ด้วย
ส่วนต่อมาคือ งานวิจัย เครื่องมือสร้างสรรค์องค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน โดยการวิจัยมีส่วนช่วยในการพัฒนารูปแบบธุรกิจที่ทันสมัย สามารถช่วยลดความเสี่ยงในทุกประเด็นของสิ่งแวดล้อม สังคม และ บรรษัทภิบาล (ESG) เพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ และการวางแผนกลยุทธ์ องค์กรจึงจำเป็นต้องลงทุนและสนับสนุนการทำวิจัยอย่างจริงจัง ทั้งการคิดค้นนวัตกรรม การถอดบทเรียนจากกรณีศึกษา และการเชื่อมโยงองค์ความรู้ระดับภูมิภาคและระดับโลกมาประยุกต์ใช้กับบริบทธุรกิจไทย เพื่อให้การทำธุรกิจมีคุณค่าและความหมายและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และสุดท้ายคือ แผนรองรับความเสี่ยง เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับมือกับกับภาวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนรับมือภัยพิบัติ ภาวะฉุกเฉิน ความไม่แน่นอนทางการเมือง ความผันผวนทางเศรษฐกิจ หรือแม้แต่ความเปราะบางทางสังคม
6 เทรนด์เศรษฐกิจที่เป็นทั้งโอกาสและหนทางสู่การปรับตัว
รศ.ดร.ณัฐวุฒิ ให้ข้อมูลที่น่าสนใจอีกว่า องค์กรธุรกิจยังจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันโลกภายนอกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะทิศทางเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคตจะถูกกำหนดโดยเทรนด์ต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยในช่วงเวลาปัจจุบันมี 6 เทรนด์ที่สำคัญ ดังนี้
· Green Economy & Low-Carbon Transition ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ทิศทางเศรษฐกิจโลกก้าวเข้าสู่ยุคคาร์บอนต่ำอย่างเต็มตัว มาตรฐาน ESG กฎหมายควบคุมคาร์บอน และเป้าหมาย Net Zero กำลังกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญของการค้าโลก ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีสีเขียว เศรษฐกิจหมุนเวียน และประเด็นทางสังคม เช่น สิทธิมนุษยชนในกระบวนการผลิตจะถูกจับตามองในฐานะ Game Changer รวมไปถึงการกลายเป็นข้อบังคับในเชิงกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น กฎหมายการสอบทานธุรกิจด้านความยั่งยืน (Corporate Sustainability Due Diligence Directive: CSDDD) ในกลุ่มประเทศอียู ทำให้การทำการค้าต้องมีการสอบทาน (Due Diligence) กิจกรรมของตนเองและของซัพพลายเออร์ตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม
· Digital Trade & Creative Economy ดาวรุ่งพุ่งแรงของเศรษฐกิจใหม่ ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์แวร์ คลาวด์ คอนเทนต์ ครีเอเตอร์ ไปจนถึงบริการนวัตรกรรมแบบมืออาชีพ ซึ่งเป็นเทรนด์เศรษฐกิจใหม่ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าการใช้นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ สามารถสร้างรายได้มหาศาลไม่แพ้การผลิตแบบดั้งเดิม โดย Creator Economy และ Digital Services กำลังเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถสร้างตัวตนและรายได้จากความสามารถ ขณะเดียวกันธุรกิจที่ทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบโดยนำ AI และ Data Analytics มาใช้วางแผนและประกอบการจะเข้าถึงและเข้าใจลูกค้าได้ลึกซึ้งกว่า และได้เปรียบในการแข่งขัน ส่วนธุรกิจที่ยังปรับตัวตามไม่ทันมีความเสี่ยงสูงที่จะล้มหายตายจากไป
· GenAI & Future of Work การมาถึงของ Generative AI สร้างแรงสั่นสะเทือนให้ตลาดแรงงานทุกอุตสาหกรรมและทั่วโลก สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การทำให้งานจำนวนมาก “หายไป” เท่านั้น แต่เป็นการ “เปลี่ยนไป” สู่รูปแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเสริมให้คนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น งานบางประเภทอาจถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ แต่ขณะเดียวกันก็จะเกิดอาชีพและทักษะใหม่ ๆ รวมถึงงานที่คนและ AI ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดแต่สิ่งที่ยังเป็นคอขวดสำคัญ คือ “ช่องว่างทักษะ” (Skill Gap) ที่จะกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว องค์กรที่มองการณ์ไกลและยอมลงทุนในการ Reskill และ Upskill บุคลากรจะสามารถใช้ GenAI เป็นพลังเสริม เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ส่วนองค์กรที่ยังชะล่าใจ ไม่เร่งปรับตัว อาจเสี่ยงเจอวิกฤตแรงงานในอนาคต
· Silver Economy: Blue Ocean ใหม่ ที่เต็มไปด้วยโอกาส การเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบกำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจโลก ภาคธุรกิจจึงต้องเร่งปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการของผู้สูงวัยที่มีกำลังซื้อสูงพร้อมลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิต และต้องการบริการและผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่ม ตั้งแต่บริการทางการแพทย์และสุขภาพ เทคโนโลยีที่ช่วยดูแลผู้สูงวัย ที่อยู่อาศัยอัจฉริยะ งานอดิเรก การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงิน
· Health & Wellness เมกะเทรนด์ที่ไม่มีวันตกยุค กระแสการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดียังคงเป็นเทรนด์ใหญ่ของโลก ซึ่งจากเดิมที่สุขภาพมุ่งไปที่การรักษาโรคเป็นหลัก ปัจจุบันได้ขยายสู่การดูแลแบบองค์รวม ครอบคลุมทั้งร่างกาย จิตใจ และสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์เชิงป้องกัน โภชนาการเฉพาะบุคคล ฟิตเนสและเวชศาสตร์ชะลอวัย ไปจนถึงการออกแบบเมืองและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาวะ โดยเมกะเทรนด์นี้ยังคงเปิดกว้างสำหรับอุตสาหกรรมสุขภาพ อาหาร การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และบริการที่เกี่ยวข้อง นับเป็นโอกาสทองของประเทศไทยที่มีศักยภาพสูงด้านการแพทย์และการดูแลสุขภาพ
· Regenrative Business กระแสโลกที่ต้องการเห็นธุรกิจที่ก้าวมาในระดับที่สูงกว่าธุรกิจยั่งยืน แต่เป็นธุรกิจที่อภิบาลโลกผ่านกระบวนการธุรกิจสีเขียว สร้างความเป็นธรรมและถูกต้อง โปร่งใส ร่วมปฏิรูประบบซัพพลายเชนของบริษัท โดยสร้างกลไกที่จะทำให้การสรรหาวัตถุดิบ การจัดการโลจิสติกส์ เป็นไปอย่างเกื้อกูลต่อโลก พร้อมกับสนับสนุนชุมชนและคู่ค้าให้อยู่ได้
CMMU ชูจุดแข็ง พร้อมร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเดินหน้าสู่ความยั่งยืน
รศ.ดร.ณัฐวุฒิ พิมพา กล่าวในช่วงท้ายว่า CMMU ในฐานะสถาบันการจัดการชั้นนำของไทยพร้อมร่วมขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความยั่งยืนด้วยการสร้างบุคลากรคุณภาพที่ทั้งตอบโจทย์ความต้องการของสังคมในปัจจุบันและพร้อมปรับตัวรับการเปลี่ยนผ่านทางธุรกิจในอนาคต ผ่านการออกแบบหลักสูตรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ทันสมัยและผสานแนวคิดการบริหารจัดการธุรกิจอย่างยั่งยืนซึ่งกำลังเป็นกระแสหลักที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ
“ปัจจุบัน ความยั่งยืนไม่ใช่แค่กระแส แต่ได้กลายเป็นตัวกำหนดทิศทางการพัฒนา ตัวชี้วัดความสำเร็จเกณฑ์วัดขีดความสามารถทางการแข่งขัน และเป้าหมายปลายทางที่ทั่วโลกมีร่วมกัน CMMU จึงสอดแทรกประเด็นด้านความยั่งยืนเข้าไปในทุกหลักสูตรการเรียนการสอน ทั้งหลักสูตรไทยและหลักสูตรนานาชาติ เพื่อให้ผู้เรียนทุกคนสามารถนำศาสตร์ด้านความยั่งยืนไปประยุกต์ใช้กับทุกสาขาวิชาที่เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมก้าวออกไปเป็นผู้ประกอบการ ผู้บริหารยุคใหม่ ไปจนถึงผู้นำแห่งอนาคตที่เชี่ยวชาญด้านการวางกลยุทธ์และบริหารธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน และไม่ใช่แค่พร้อมสำหรับประเทศไทยแต่พร้อมสำหรับเวทีโลก การันตีด้วย 3 รางวัลคุณภาพระดับโลก ได้แก่ AACSB (Association to Advance Collegiate Schools of Business) ที่ให้การรับรองคุณภาพสถาบันบริหารธุรกิจ ซึ่งมีเพียงประมาณ 5% ของสถาบันบริหารธุรกิจทั่วโลกเท่านั้นที่ผ่านการรับรองนี้ AMBA (Association of MBAs) ที่ให้การรับรองมาตรฐานหลักสูตรบริหารธุรกิจ ซึ่งมีสถาบันชั้นนำประมาณ 300 แห่งทั่วโลกเท่านั้นที่ได้รับการรับรองนี้ และ BGA (Business Graduates Association) ที่มอบให้แก่สถาบันที่มีการบริหารจัดการที่มุ่งมั่นสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง จึงมั่นใจได้ว่า นักศึกษาจาก CMMU ทุกคนจะไม่เพียงมีความรู้ความเชี่ยวชาญทางธุรกิจ เป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโต แต่ยังมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และพร้อมร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนไปด้วยกันทั้งในระดับประเทศและระดับโลก”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น