#GIT เดินหน้าปั้น “#มาตรฐานความยั่งยืน” ยกระดับ #อุตสาหกรรมอัญมณีไทย ชูแนวคิด ธรรมาภิบาล โปร่งใส–ตรวจสอบได้ ชิงส่วนแบ่งตลาดโลกกว่า 11 ล้านล้าน ตั้งเป้าขยายผลต่อเนื่องถึงปี 2569
#สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ #GIT เปิดแผนเดินหน้าขับเคลื่อน “#มาตรฐานความยั่งยืน” เร่งยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย ด้วยแนวทางธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และการตรวจสอบได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อสร้างบรรทัดฐานสากลที่ผู้ซื้อและแบรนด์ระดับโลกเชื่อมั่น รองรับโอกาสตลาดอัญมณีโลกมูลค่ากว่า 11 ล้านล้านบาท และเมกะเทรนด์ด้านความยั่งยืนที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าไปช่วงชิงได้ หากปรับตัวสู่ระบบมาตรฐานที่ยั่งยืนและตรวจสอบได้จริง
ความเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก: ความยั่งยืนคือแต้มต่อใหม่
จากรายงานของ McKinsey บริษัทที่ปรึกษากลยุทธ์ชั้นนำของโลก สะท้อนภาพชัดเจนว่า ปัจจัยด้านความยั่งยืนมีอิทธิพลต่อยอดขายเครื่องประดับทั่วโลกถึง 20–30% สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ไม่ได้เลือกซื้อเครื่องประดับเพียงเพราะ “ความงาม” หรือ “คุณค่าทางใจ” เท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับที่มาของวัตถุดิบ ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชนในกระบวนการผลิตด้วยเหตุนี้มาตรฐานด้านธรรมาภิบาลสากล เช่น Responsible Jewellery Council (RJC) จึงกลายเป็นเสมือน “ใบเบิกทางทางการค้า” ที่ตลาดหลักในต่างประเทศกำหนดให้เป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการเข้าถึงตลาดโลกอย่างยั่งยืน
จากบริบทดังกล่าว สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (GIT) จึงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถยกระดับเข้าสู่ระบบมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล อันจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและคู่ค้า ตลอดจนต่อยอดโอกาสในการแข่งขันบนเวทีโลกได้อย่างแท้จริง
นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบัน GIT กล่าวว่า “ประเทศไทยมีจุดแข็งด้านฝีมือและการออกแบบที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก แต่กลไกสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้ก้าวสู่การแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้นคือ ‘มาตรฐาน’ ที่สร้างความน่าเชื่อถือเชิงระบบ ตั้งแต่แหล่งที่มาวัตถุดิบ มาตรฐานแรงงาน ความปลอดภัย ไปจนถึงสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ มีการประมาณการว่าในปี 2024 อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับโลกมีมูลค่าสูงกว่า 366.79 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 11.89 ล้านล้านบาท ขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากการให้คุณค่าเพียงด้านความสวยงามและอารมณ์ความรู้สึก มาสู่การให้ความสำคัญกับมาตรฐานความโปร่งใส และธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่ามาตรฐานเหล่านี้จะเป็นปัจจัยหลักในการแข่งขันในอนาคต”
“ดังนั้นมาตรฐานจึงไม่เพียงเป็นเครื่องมือสร้างความเชื่อมั่นตลอดห่วงโซ่อุปทาน แต่ยังเป็นใบเบิกทางสู่คู่ค้าระดับสากล ภารกิจของ GIT คือการผลักดันผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้ก้าวสู่ ‘มาตรฐานความยั่งยืน’ ผ่านกรอบ GIT Standard และการเตรียมพร้อมเข้าสู่มาตรฐานสากล เพื่อแปลงคุณภาพชิ้นงานให้เป็นความน่าเชื่อถือที่ตรวจสอบได้ และขับเคลื่อนธุรกิจไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้งในประเทศและตลาดโลก”
โครงสร้างของเส้นทางมาตรฐานของ GIT สู่สากล
GIT ได้ออกแบบกรอบการยกระดับอุตสาหกรรมอัญมณีไทยอย่างเป็นระบบโดยยึดหลักการเชื่อมโยงตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบจนถึงปลายทางการค้าโลก ด้วยกลไกเชิงปฏิบัติการ 3 แกนหลักที่ผสมผสานกันอย่างมีเหตุผลและเป็นรูปธรรม
GIT Standard สำหรับห้องปฏิบัติการ รากฐานของความน่าเชื่อถือทางวิชาการและการค้า ซึ่งยกระดับการทดสอบ การวิเคราะห์ และกระบวนการออกหนังสือรับรองคุณภาพ เพื่อให้ชิ้นงานจากประเทศไทยไม่เพียงงดงามด้วยฝีมือ แต่ยังเล่าเรื่อง “ที่มา” ได้ชัดเจนและตรวจสอบได้ตามมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
แนวทางด้าน Due Diligence และ Traceability สำหรับผู้ประกอบการ ระบบธรรมาภิบาลภายในสถานประกอบการที่ครอบคลุมการบริหารแรงงานอย่างเป็นธรรม การจัดการความปลอดภัยของสถานที่ทำงาน ระบบเอกสารที่เชื่อมโยงย้อนกลับได้ และกระบวนการติดตามแหล่งที่มา (Traceability) ทั้งหมดนี้เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อในประเทศ เพื่อนบ้าน และนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับที่มาของสินค้า
การเตรียมความพร้อมสู่มาตรฐานสากลเพื่อการส่งออก GIT ดำเนินโครงการอบรมและบ่มเพาะเชิงปฏิบัติการที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถตอบโจทย์ข้อกำหนดด้านแรงงาน แหล่งที่มา สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย สอดคล้องกับ Code of Practices และแนวทาง Chain-of-Custody ของ Responsible Jewellery Council (RJC) สำหรับการเตรียมความพร้อมสู่ตลาดส่งออก GIT ได้มีแนวทางในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยสามารถตอบสนองต่อมาตรฐานระดับสากลอย่าง Responsible Jewellery Council (RJC) ซึ่งครอบคลุมประเด็นสำคัญตั้งแต่สิทธิมนุษยชน แหล่งที่มาของวัตถุดิบ การดูแลสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงความปลอดภัยในกระบวนการผลิต
จากโครงสร้างการทำงานที่บูรณาการดังกล่าว คาดว่าจะช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงคู่ค้าระดับนานาชาติที่ให้ความสำคัญกับการจัดซื้อแบบมีความรับผิดชอบได้มากขึ้น พร้อมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและแบรนด์ที่ผ่านการรับรองจากระบบตรวจสอบที่เป็นที่ยอมรับ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและชื่อเสียงที่อาจเกิดขึ้นจากประเด็นแรงงานและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว เพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยต่อไป
เมื่อทั้งสามแกนผสานกันเป็นโครงสร้างเชิงระบบ ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs จะมีโอกาสเข้าถึง
คู่ค้าระดับนานาชาติที่คัดเลือกผู้ขายบนฐานธรรมาภิบาลได้มากขึ้น สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า และลดความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและปัญหาแรงงานหรือสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ตอบรับทิศทางตลาดโลกที่ความยั่งยืนกลายเป็นปัจจัยชี้ขาดต่อการตัดสินใจซื้อ
ขยายผลถึงปี 2569 – พร้อมให้คำปรึกษา
GIT วางแผนขยายผลโครงการมาตรฐานความยั่งยืนต่อเนื่องถึงปี 2569 โดยทำงานร่วมกับภาคีอุตสาหกรรมและหน่วยงานรัฐ เพื่อยกระดับมาตรฐานเชิงโครงสร้างให้ครอบคลุมตั้งแต่ ผู้ผลิต โรงงาน ห้องปฏิบัติการ ไปจนถึงผู้ค้าในประเทศ พร้อมเปิดให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการทุกระดับที่ต้องการประเมินช่องว่าง และวางแผนพัฒนาระบบให้ตอบโจทย์คู่ค้าระดับโลกอย่างแท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น